วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวเคมี(9)

ชื่อธาตุใหม่ 113, 115, 117, และ 118

     สหภาพเคมีบริสุทธิ์และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศ (IUPAC) มีมติอย่างเป็นทางการ ประกาศชื่อธาตุใหม่ 4 ตัวในตารางธาตุ ดังต่อไปนี้
  • - ธาตุลำดับที่ 113 ชื่อ Nihonium    สัญลักษณ์ Nh
  • - ธาตุลำดับที่ 115 ชื่อ Moscovium สัญลักษณ์ Mc
  • - ธาตุลำดับที่ 117 ชื่อ Tennessine สัญลักษณ์ Ts
  • - ธาตุลำดับที่ 118 ชื่อ Oganesson สัญลักษณ์ Og
 
     ที่มาของธาตุทั้ง 4 ตัวนี้ สหภาพเคมีบริสุทธิ์และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศ ได้อธิบายไว้ว่า
     - ธาตุลำดับที่ 113 ชื่อ Nihonium สัญลักษณ์ Nh ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการ RIKEN Nishina Center for Accelerator-Based Science (Japan) ประเทศญี่ปุ่น โดย Nh มาจากคำว่า Nihon ซึ่งเป็นคำเรียกชื่อประเทศญี่ปุ่น
     - ธาตุลำดับที่ 115 ชื่อ Moscovium สัญลักษณ์ Mc ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการ Joint Institute for Nuclear Research, Dubna (Russia) ในประเทศรัสเซีย โดยชื่อธาตุได้มาจากชื่อเมือง Moscow ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยแห่งนี้
     - ธาตุลำดับที่ 117 ชื่อ Tennessine สัญลักษณ์ Ts ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการ Oak Ridge National Laboratory (USA), Vanderbilt University (USA), Lawrence Livermore National Laboratory (USA) ซึ่งเป็นผู้ร่วมค้นพบธาตุนี้ ชื่อธาตุตั้งชื่อตามรัฐ Tennessee ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการแห่งนี้
     - ธาตุลำดับที่ 118 ชื่อ Oganesson สัญลักษณ์ Og ค้นพบโดยทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการ Joint Institute for Nuclear Research, Dubna (Russia) และ Lawrence Livermore National Laboratory (USA) ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ศาสตราจารย์ Yuri Oganessian ผู้บุกเบิกการวิจัย

ที่มา:http://www.trueplookpanya.com/learning/detail/32060


ข่าวเคมี(8)

วิธีกำจัดแมลงหวี่แบบง่าย ๆ ไม่พึ่งสารเคมี

วิธีกำจัดแมลงหวี่แบบง่าย ๆ ไม่พึ่งสารเคมี

     บ้านใดเจอปัญหาแมลงแสนรำคาญรบกวน ตอมหน้าตอมตา กวนหัวใจ อย่างเจ้าแมลหวี่ ซึ่งจะมาในหน้าร้อนเป็นส่วนใหญ่ แต่จะสร้างความรำคาญมากกว่าแมลงวัน ตามตื้อ ตามจิกไปมาทุกที่ 
     ถ้าเจอปัญหาแมลงหวี่รบกวนเหมือนที่กล่าวมา วันนี้เรานำวิธีไล่แมลงหวี่มาแนะนำ เป็นวิธีง่ายๆ เกี่ยวกับการกำจัดแมลงหวี่ หรือไล่แมลงหวี่โดยไม่ใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ป้องกันสารตกค้าง
  • กำจัดแมลงหวี่ด้วยเชือกใช้เชือกสีขาวๆมาผูกกับราว หรือตามยาวลงมา แมลงหวี่จะบินไปเกาะ ไม่มาตัวเดียวด้วย ชวนกันมา จากนั้นก็นำน้ำมันเครื่อง น้ำมันก๊าซ หรือ น้ำมัน พืช น้ำมันหมู มาใส่ภาชนะ แล้วมาเคลือบที่เชือกเพื่อจับแมลงหวี่ มันจะติดบินไปใหนไม่ได้แล้ว
  • ควันกาบมะพร้าว กับ เครือกระทกรกแมลงหวี่ไม่ชอบกลิ่นกาบมะพร้าว กับเครือกระทกรกที่ตากแห้งแล้วเอามามัดจุดไฟให้เกิดควัน จะหนีไปไม่กลับมาอีก
  • กำจัดแมลงหวี่โดยใช้ใบหางนกยูงไล่แมลงหวี่แบบธรรมชาติ เพียงนำก้านของใบหางนกยูงมาใส่ไว้บนแจกันบนโต๊ะทำงาน หรือตรงที่มารบกวน แมลงหวี่นั้นไม่ชอบกลิ่นของใบหางนกยูง
  • กำจัดแมลงหวี่ด้วยดอกดาวเรือง ให้เด็ดดอกดาวเรืองมาแช่ในน้ำ ทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นก็เอาน้ำที่ได้มารดบริเวณที่มีแมลงหวี่ เพียงไม่กี่วันแมลงหวี่จะหนีหายไปจากที่นั่น พร้อมกำจัดทั้งไข่ของแมลงหวี่
ที่มา:https://www.sanook.com/home/16981/


ข่าวเคมี(7)

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ชี้แจง เหตุสารเคมีรั่วไหลไม่ใช่ “ไซยาไนด์”

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ชี้แจง เหตุสารเคมีรั่วไหลไม่ใช่ “ไซยาไนด์”

     การไฟฟ้าแม่เมาะแจงเหตุสารเคมีรั่วไหล คือ กรดไฮโดรคลอริก  เมื่อถูกน้ำจะเกิดเป็นไอมีกลิ่นฉุน ตามมาตรการด้านความปลอดภัย จึงให้พนักงานที่ปฏิบัติงานออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย
     นายศานิต นิยมาคม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงถึงกรณีที่ช่วงเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม มีกระแสข่าวว่า เกิดเหตุสารไซยาไนด์รั่วภายในบริเวณสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทน เครื่องที่ 4-7 และมีการอพยพคนงานออกจากพื้นที่ดังกล่าว โดยกฟผ. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า สารเคมีดังกล่าวไม่ใช่สารไซยาไนด์
     ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุสารเคมีที่ใช้ปรับสภาพน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้ามีการรั่วซึม ได้ดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยเร่งด่วนจนสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อย เจ้าหน้าที่และคนงานกลับเข้าไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ พร้อมยืนยันว่าไม่มีผู้ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
     อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4-7 (MMRP1) พบเหตุ “กรดไฮโดรคลอริค (HCL) หรือ กรดเกลือ” รั่วไหลในปริมาณเล็กน้อยระหว่างการทดสอบระบบ จึงได้ให้คนงานที่อยู่ในรัศมี 10 เมตร ออกไปอยู่ที่จุดรวมพล เพื่อความปลอดภัย และเป็นการปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย ระดับที่ 1
     "กรดไฮโดรคลอริค (HCL) หรือ กรดเกลือ เป็นสารเคมีที่มีไว้ใช้สำหรับปรับสภาพน้ำที่ใช้ในโรงไฟฟ้า เพื่อให้ได้น้ำที่มีคุณภาพก่อนน้ำไปใช้ในระบบ"
ที่มา:https://www.sanook.com/news/6334854/

ข่าวเคมี(6)

หนุ่มคลั่งบุกสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ทุบห้องสารเคมีพัง หวิดดับเอง

หนุ่มคลั่งบุกสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ทุบห้องสารเคมีพัง หวิดดับเอง

     เมื่อเวลา 07.30 น. (31 มี.ค. 61) เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรแสนสุข ได้รับแจ้งจาก รปภ.ว่า มีคนคลุ้มคลั่งบุกเข้ามาภายในสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน จังหวัดชลบุรี และทุบกระจกแตกหลายจุด เจ้าหน้าที่จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมกับ รปภ. พบชายอายุประมาณ 25 ปี อยู่ในอาการคล้ายคนเมายา โดยเจ้าหน้าที่ รปภ.พยายามเข้าไปใกล้ หนุ่มคนดังกล่าวก็มีอาการตื่นตกใจและวิ่งหนีเข้าไปภายในห้องจุลชีวะ ซึ่งเป็นห้องสารเคมีและห้องเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลและพืชชนิดต่างๆ รวมถึงมีอุปกรณ์ต่างๆเครื่องตรวจสภาพน้ำและอื่นๆ ซึ่งบางอย่างมีราคาแพงเพราะต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ
     โดยชายคนดังกล่าวทุบกระจกเข้าไปในห้องและทุบทำลายข้าวของทุกอย่างจนพังเละ ชายคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บถูกกระจกบาดที่มือจนเลือดไหลนองเต็มห้อง เจ้าหน้าที่พยายามจะเข้าไปควบคุมตัวแต่เข้าไปไม่ได้เนื่องจากห้องดังกล่าวเป็นห้องเก็บสารเคมีซึ่งมีกลิ่นแรงมาก แต่ชายคนดังกล่าวนอนนิ่งอยู่ข้างในห้องเกรงจะเสียชีวิตเพราะสารเคมี รปภ.จึงจะพยายามเข้าไปช่วย
      จนกระทั่งชายคนดังกล่าวพยายามเดินออกมาและนอนอยู่หน้าห้อง หัวหน้ารปภ.จึงพยายามเข้าไปเกลี้ยกลอมจนกระทั่งชายคนดังกล่าวยอมออกมาจากห้อง มีอาการพูดจาไม่รู้เรื่อง มีบาดแผลที่แขนและมือ จากการสอบถามทราบว่าชื่อนาย พิทักษ์ อายุ 26 ปี เป็นคนจังหวัดหนองบัวลำภู มาทำงานก่อสร้าง รปภ.จึงรีบนำตัวส่ง โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อนอายัดตัวสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 
ที่มา:https://www.sanook.com/news/5885314/

ข่าวเคมี(5)

สารเคมีรั่วในสระว่ายน้ำ หามเด็กส่ง รพ. นับสิบราย

สารเคมีรั่วในสระว่ายน้ำ หามเด็กส่ง รพ. นับสิบราย

     เหตุดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 13 มี.ค. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพต้องระดมกำลังมาช่วยเหลือเด็กนักเรียนกว่า 20 คน ที่สำลักกลิ่นเหม็นของสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ภายในสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น หลังสารเคมีที่ผสมเตรียมไว้เกิดปฏิกิริยารั่วออกมา ขณะที่เด็กกำลังเรียนว่ายน้ำภาคฤดูร้อน โดยเจ้าที่กู้ภัยนำเด็กที่สูดกลิ่นเหม็นของสารเคมีนำส่งโรงพยาบาลขอนแก่น จำนวน 9 ราย 

     สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากถังผสมสารเคมีสำหรับใช้ในการตกตะกอน ที่เจ้าหน้าที่ดูแลสระว่ายน้ำผสมไว้สารเคมีสำหรับให้น้ำตกตะกอน ประกอบด้วย โซดาแอช จุนสี สารส้ม ได้ทำปฏิกิริยาขึ้น แล้วเกิดควันพุ่งออกจากถังผสมสารเคมี จึงทำให้กลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วสระว่ายน้ำ
     ทางเจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องดูดกลิ่นออกจากตัวอาคาร เพื่อเตรียมเข้าไปดูจุดห้องผสมสารเคมี โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถไล่กลิ่นเหม็นคลอรีนออกจากพื้นที่สระว่ายได้ทั้งหมด
     ตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น เข้าตรวจสอบสระว่ายน้ำ พร้อมกับสอบปากคำคนดูแลสระว่ายน้ำเพิ่มเติม  พร้อมตรวจสอบภายในสระว่ายน้ำ พบว่าน้ำมีสีขุ่นและมีฟองอากาศ จากนั้นนำขวดเก็บน้ำภายในสระไว้ ก่อนที่จะเดินทางไปยังโรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลราชพฤกษ์ และโรงพยาบาลขอนแก่นราม เพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ที่เข้ารักษาตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุระหว่าง 5-10 ปี  เบื้องต้นทางแพทย์ได้อนุญาตให้ผู้ที่เข้ารักษาตัวทั้ง 9 คน เดินทางกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่ทางสระว่ายน้ำได้ประกาศหยุดให้บริการเป็นเวลา 2 วัน คือวันที่ 14-15 มีนาคม 2559 และจะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันพุธที่ 16 มีนาคม 2559 
ที่มา:https://www.sanook.com/news/1963634/

ข่าวเคมี(4)

อันตราย! ผักไทยพบสารเคมีตกค้างเกือบ 100% แทบทุกชนิด


     คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) ตรวจพบผักที่มีสารเคมีจากยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่หลายชนิด เช่น ผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างอยู่ที่ 85% ผักบุ้งจีน 98% ผักกวางตุ้ง 99% และกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แตงกวา พบมากถึง 100% 
     นอกจากจะเจอสารเคมีตกค้างในผักยอดนิยมของคนไทยหลายชนิดแล้ว แต่ละชนิดยังไม่ได้พบสารเคมีแค่ตัวเดียวอีกด้วย เช่น ในส้มที่พบมากถึง 21 ชนิด นั่นหมายความว่าเกษตรกรใช้สารเคมีมากถึง 21 ชนิดในการปลูกส้มนั่นเอง
     นอกจากนี้ รศ. ดร. สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ราคาของผักไม่ได้การันตีว่าจะไม่พบสารเคมี หรือพบสารเคมีมากกว่าหรือน้อยกว่าแต่อย่างใด จากการสุ่มตรวจหาสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ทั้งจากตลาดสด และในซุปเปอร์มาร์เก็ตขึ้นหาก ทั้งจากแหล่งผลิตที่เขียนข้างบรรจุภัณฑ์ชัดเจนว่า “ผักปลอดสารพิษ” “ผักอินทรีย์” สุดท้ายก็เจอสารเคมี นั่นหมายความว่าเราจ่ายเงินมากกว่าหลายเท่า แต่ได้ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากเท่าๆ กับผักผลไม้ในตลาดสด

เคล็ดลับการล้างผักผลไม้ เพื่อลดสารพิษ ยาฆ่าแมลง สารเคมีตกค้างต่างๆ
1. ล้างผักผลไม้ด้วยด่างทับทิม ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 20-30%
2. ล้างด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชู ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
3. ล้างด้วยน้ำผสมผงฟู หรือเบกกิ้งโซดา ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
4. ล้างผักด้วยวิธีน้ำไหล โดยแยกใบผัก กลีบผักออกมา แช่ในน้ำ 10 นาที จากนั้นหยิบใบผักขึ้นมา เปิดก็อกให้น้ำไหลผ่านผักและผลไม้ทีละใบ ทีละก้าน ถูๆ ให้สะอาดราว 2 นาที วิธีนี้ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 60-70%
     ที่มา:https://www.sanook.com/health/5021/


วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวเคมี(3)

12 สารเคมีในบ้านที่เราควรหลีกเลี่ยง


     ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เราใช้อยู่ในครัวเรือนมีส่วนผสมของสารเคมี ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ องค์การอนามัยโลกบอกว่า สารเคมีเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คน ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เกิดกับคนในโลก
     Thomas Zoeller ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแมซซาชูเสท บอกว่า แม้เราจะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า สารเคมีต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันไปขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธว่าสารเคมีส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย
     มีรายงานว่า ทุกวันนี้มีสารเคมีราว ๆ 80,000 ชนิด ที่ถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับอยู่ในชีวิตประจำวัน และสารเคมีประมาณ 1,300 ชนิด ก็ถูกพิจารณาว่าขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และสารเคมี 12 ชนิดต่อไปนี้ นับว่าเลวร้ายมากที่สุด ซึ่งเราควรจะต้องหลีกเลี่ยง
     1.Bisphenol A หรือ BPAเป็นสารที่พบในบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในปี 1930 มีการใช้เพื่อสังเคราะห์เอสโตรเจนให้กับผู้หญิง ดังนั้นแน่นอนว่า สารเคมีดังกล่าวมีผลต่อฮอร์โมน มีการศึกษาพบว่า มันทำหน้าที่เหมือนเอสโตรเจน ทำให้การผลิตเสปิร์มของผู้ชายลดลง ทำให้เด็กหญิงแตกวัยสาวเร็วกว่ากำหนด และส่งผลกระทบต่อภาวะการเจริญภัณฑ์ของทั้งชายและหญิง เราจะพบสาร BPA ในอาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก สารเคลือบใบเสร็จ
     2.Dioxins หรือไดอ๊อกซิน เป็นสารประกอบทางเคมีที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง และมีผลกระทบต่อฮอร์โมน ลดภาวะการเจริญพันธุ์ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคเยื่อบุโพรงมดลูก มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ สารเคมีนี้เกิดจากการเผาขยะในปริมาณมาก และปนเข้าไปอยู่ในกระดาษ เยื่อไม้ อากาศ และน้ำ จากนั้นก็ไปก่อตัวอยู่นำไขมันของสัตว์ การที่จะลดปริมาณการรับสารพิษนี้ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมัน และนมเนยให้น้อยลง 
     3.Atrazine หรืออาทราซิน สารนี้เคยมีการวิจัยพบว่ามีผลกระทบต่อฮอร์โมนของปลาและกบ ทำให้ปลาและกบเพศผู้มีความเป็นเพศเมีย ส่วนในมนุษย์พบว่าสารดังกล่าวเพิ่มการทำงานของยีนที่เกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ สารชนิดนี้นำมาใช้กำจัดศัตรูพืช วิธีการหลีกเลี่ยงสารพวกนี้ก็คือ การเลือกบริโภคผัก ผลไม้ จากฟาร์มออร์แกนิค และลดปริมาณการรับประทานเนื้อ 
     4.Phthalates หรือพาทาเล็ท สารนี้เคยมีการนำมาศึกษา พบว่า เด็กชายที่เกิดจากมารดาที่มีสารพาทาเล็ทมาก จะมีความผิดปกติที่อวัยวะเพศ สารเคมีดังกล่าวไปรบกวนฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้มีการพัฒนาของหน้าอก นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม มีระดับสารชนิดนี้สูงกว่าหญิงที่ไม่เป็น สารพาทาเล็ทพบได้มากในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ ทั้งพื้นบ้าน ม่านห้องน้ำ หนังสังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์พวก PVC ไวนิล สารพาทาเล็ททำให้พลาสติกมีความยืดหยุ่น และยังเป็นสารที่นำไปใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวกสี เช่น ยาทาเล็บ 
     5.Perchlorate หรือพอร์เชอเรต เป็นสารที่รบกวนการทำงานของไทรอยด์ ส่งผลต่อฮอร์โมนและการเผาผลาญอาหารของร่างกาย สารนี้เป็นส่วนประกอบของเชื้อเพลิงจรวด ขีปนาวุธ ดอกไม้ไฟ รวมทั้งแบตเตอรี่ สารนี้จะปนเปื้อนอยู่ในดินและน้ำใต้ดิน และไม่มีใครทราบว่า เมื่อไหร่ที่สารเคมีนี้จะสลายตัวไป 
     6.Flame retardants หรือสารหน่วงการติดไฟ ส่งผลกระทบต่อไทรอยด์ และการเจริญพันธุ์ของเพศหญิง และมีผลกระทบต่อระดับไอคิวของเด็ก สารชนิดนี้พบได้ในเฟอร์นิเจอร์ พรม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้กับเด็ก สารนี้มีอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ดูดฝุ่น ทำความสะอาดบ่อย ๆ พยายามลดการแพร่กระจายของมัน เพราะสารนี้จะออกมาจากฝุ่นในเฟอร์นิเจอร์ พรมปูพื้นรถ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการชำรุด
      7.Lead หรือสารตะกั่ว มีการวิจัยพบว่าอันตรายจากสารตะกั่วนั้นเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนและความเครียดของคนเรา สารตะกั่วนั้นเป็นโลหะพิษที่ปนเปื้อนอยู่ทั้งในน้ำดื่มที่ไหลผ่านท่อน้ำเก่า และน้ำในแทงก์น้ำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า ซึ่งดูดซับสารตะกั่วไว้ในปริมาณน้อย และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยนั้น หากเป็นบ้านเก่า ควรได้รับการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ เพื่อการอุปโภคและบริโภค
     8.Arsenic หรือสารหนู เป็นสารก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้อีกหลายอย่าง รวมทั้งทำให้เกิดปัญหากับต่อมไร้ท่อ และระบบภูมิคุ้มกันโรค สารหนูมีอยู่ทั้งในน้ำและอาหาร เนื้อสัตว์ และผลไม้ที่อยู่ในฟาร์ม ซึ่งไม่มีคุณภาพ ดังนั้น แนวทางในการหลีกเลี่ยงก็คือ กรองน้ำผ่านระบบการกรองที่ได้มาตราฐาน เลือกรับประทานอาหารจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ หรืออาหารออแกนนิค
     9.Mercury หรือสารปรอท ส่งผลกระทบต่อไอคิวของเด็ก อีกทั้งยังส่งผลต่อฮอร์โมน การมีประจำเดือนและการตกไข่ของผู้หญิง สารปรอทนี้ทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด สารนี้พบในอาหารทะเล เพราะสามารถปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้กับแหล่งอุตสาหกรรม สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารทะเลที่มีปริมาณสารปรอทต่ำ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วปลาเล็กๆ จะมีการปนเปื้อนน้อย
     10.Perfluorinated chemicals สารเปอร์ฟลูออโรเนท หรือ PFCs มีผลกระทบต่อการทำงานของไทรอยด์ และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ มีผลต่อภาวะการเจริญพันธุ์ของทั้งชายและหญิง เราพบสารชนิดนี้ในหม้อ กระทะที่มีการเคลือบสารกันการเกาะติด รวมทั้งยังมีอยู่ในเสื้อผ้า ผ้าหุ้มเบาะ พรม กระเป๋าเป้ และพวกผลิตภัณฑ์ป้องกันน้ำ ป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ รวมทั้งยังพบในกล่องพิซซ่า ห่ออาหาร ถุงป๊อบคอร์นแบบไมโครเวฟ ถุงอาหารสัตว์ เราสามารถหลีกเลี่ยงสารดังกล่าวได้ด้วยการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์พวก กอร์เท็ค ป้องกันคราบ และเทฟล่อน 
     11.Organophosphate pesticides หรือยากำจัดแมลงพวกฟอสเฟต สารพวกนี้ทำให้ระดับเทสทอสเทอโรน และฮอร์โมนเพศต่ำลง หากได้รับสารนี้ระหว่างการตั้งครรภ์ ก็มีความเสี่ยงต่อการแท้งลูก และมีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เราพบว่ามีสารพวกนี้ในยาฆ่าแมลง ดังนั้นการหลีกเลี่ยงก็คือ การเลือกอาหารจากฟาร์มออร์แกนิค
     12.Glycol ethers หรือไกลคอล อีเทอร์ มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ทำให้สเปิร์มของเพศชายด้อยคุณภาพ สารพวกนี้ใช้มากในวงการอุตสาหกรรม รวมทั้งพวกบริการซักแห้ง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ผ้าที่มีความบอบบาง ให้ซักด้วยมือแทนการซักแห้ง และทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมใช้เองที่บ้าน
ที่มา:https://www.sanook.com/home/13749/